สถานศึกษามีส่วนช่วยในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่เยาวชน

ในปัจจุบันมีสิ่งประดิษฐ์มากมายที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ กลายเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศ อีกทั้งสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆไม่ได้แสดงถึงด้านวิทยาการที่ก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะสิ่งประดิษฐ์สามารถเป็นสินค้าช่วยส่งออกได้

ในประเทศไทยมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ยังขาดทางด้านการพัฒนาไปสู่การผลิตเป็นสินค้า เพราะนอกจากจะสอนให้รู้จักคิดแล้วต้องสอนการรู้จักนำไปใช้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะสิ่งประดิษฐ์หลายๆชั้นเกิดขึ้นภายในสถานศึกษา และจบลงในสถานศึกษาด้วยเช่นกัน งๆที่สิ่งประดิษฐ์ต่างๆสามารถนำไปพัฒนาเป็นสินค้าที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ ยกตัวอย่างในต่างประเทศเมื่อมีคนคิดไอเดียขึ้นมา เขาก็จะเริ่มต้นในการประดิษฐ์เพื่อนำไปทดลองใช้ จากนั้นจึงนำไปเสนอต่อวงการธุรกิจทีเกี่ยวข้อง ถ้าองค์กรธุรกิจเหล่านี้เห็นประโยชน์ เขาจะซื้อไอเดียเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้า ถ้าคนไทยสามารถทำได้แบบในต่างประเทศจะเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยพัฒนาไปได้

การที่เด็กและเยาวชนไม่ค่อยมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆนั้น ไม่ใช่เพราะไม่มีการคิด แต่ยังขาดในด้านการนำเสนอที่ไม่ชัดเจนมากกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากที่การศึกษามุ่งเน้นให้ความรู้แต่เพียงฝ่ายเดียวมากกว่า ที่จะสอนให้ผู้เรียนนำความรู้มาประยุกต์ใช้ สิ่งนี้ทำให้คนไทยคิดไม่เป็น ถึงแม้ว่าจะมีความคิดดีๆแต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถถ่ายทอดออกมายังไง แม้แต่ในสถานศึกษาเองที่ส่งเสริมให้นักเรียนทำโครงงานมากมาย เช่น โครงการทางวิทยาศาสตร์ แต่แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับไม่ให้ความสำคัญไปกว่าผลงานที่ใช้ในการนำเสนอเท่านั้น ในส่วนของสถานศึกษาควรที่จะให้ความสำคัญมากกว่านี้ ถึงแม้จะเป็นไอเดียที่ดูหลุดโลก แต่เมื่อเรานำมาพัฒนาทางด้านวิทยาการ ก็สามารถที่จะทำให้ไอเดียเหล่านั้นกลายมาเป็นผลงานที่สามารถจับต้องได้จริง และสามารถแสดงออกถึงทรัพย์สินทางปัญญาได้ดีด้วย

เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ล้วนแต่มีความคิดดีๆ เพียงแต่ขาดการสนับสนุน สิ่งนี้เองคือหน้าที่ของผู้ปกครองและสถานศึกษาที่จะต้องเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ มีโอกาสในในการนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ของตนเอง ไม่แน่ในอนาคตสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยเปลี่ยนโลกก็ได้